ครั้งหนึ่ง จื่อลู่ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของขงจื้อ ได้ถามขงจื้อว่า
“เราควรทำตามคำแนะนำที่เห็นว่าถูกต้องหรือไม่?”
ขงจื้อได้ตอบคำถามของลู่จื้อด้วยท่าทีเอาจริงเอาจังว่า
“ทำตามทันทีได้อย่างไร เจ้ายังมีพ่อมีพี่ชายอยู่ไม่ใช่หรือ ยังไม่ทันปรึกษาหารือผู้ใหญ่
ไม่ควรทำโดยพลการ ”
ต่อมาไม่นาน หยานอิ่ว ศิษย์อีกคนหนึ่งของขงจื้อ ได้ถามขงจื้อในคำถามเดียวกัน ขงจื้อตอบว่า
“ถูกแล้ว ถ้าได้ยินคำแนะนำที่ถูกที่ควรเจ้าควรปฏิบัติตามทันที ”
กงซีหัว ศิษย์อีกคนหนึ่งของขงจื้อรู้สึกแปลกใจมาก จึงเรียนถามขงจื้อว่า
” ท่านอาจารย์ครับ ผมไม่เข้าใจจริงๆทำไมท่านสอนจึงสอนศิษย์ไม่เหมือนกัน ตอนที่จื่อลู่ถามท่านว่า
ถ้าได้ฟังคำแนะนำที่ถูกที่ควร เราควรปฏิบัติตามหรือไม่ ท่านกลับบอกจื่อลู่ต้องถามผู้ใหญ่เสียก่อน ห้ามทำ
โดยพลการ แต่ครั้นหยานอิ่วถามท่านด้วยคำถามเดียวกัน ท่านกลับบอกให้เขาทำตามทันที ผมฟังแล้วงงจริงๆ
ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรจึงจะถูกต้อง ”
ขงจื้อตอบว่า ” ปกติหยานอิ่วเป็นคนขี้กลัวหัวหด กลัวไปสารพัด อาจารย์อยากเห็นเขากล้าหาญเด็ดเดี่ยวกว่านี้
จึงบอกให้เขาทำตามสิ่งที่เห็นว่าถูก เห็นว่าควรทันที เพื่อเขาจะได้ก้าวหน้าได้ดีกว่านี้ ส่วนจื่อลู่นั้นเป็นคนบ้าระห่ำ
เลือดร้อนชอบตะลุยอยู่แล้ว อาจารย์อยากเห็นเขาเยือกเย็นกว่านี้ อย่าบุกเร็วเกินไปนัก จึงบอกให้เขาฟังความเห็น
ผู้ใหญ่ให้มากๆหน่อยก่อนลงมือทำ ”
คำสอนของขงจื้อมีต่อศิษย์แต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน แม้จะเป็นปัญหาเดียวกันก็ตาม แสดงให้เห็นว่าขงจื้อได้
วิเคราะห์สภาพลูกศิษย์แต่ละคน และให้คำปรึกษาด้วยความเข้าใจในลูกศิษย์แต่ละคนอย่างถ่องแท้ ซึ่งเปรียบไป
ก็เหมือนใช้คนให้ถูกกับงาน ให้งานถูกกับคน โอกาสผิดพลาด เสียหาย ก็มีน้อยลงไปตาม ใน ณ เวลานี้หลักการนี้
ก็ยังคงใช้ได้อยู่ เพียงแต่ในปัจจุบัน ผ่านมามากมายหลายรัฐบาลแล้ว ดูเหมือนลืมเลือนหลักการง่ายๆนี้ เมื่อมีอำนาจ
บริหารจะแต่งตั้งใครซักคนมารับผิดชอบงาน ก็จะเลือกเพียงว่ามีผลตอบแทนซึ่งกันและกันหรือไม่ เป็นคนใกล้ชิด
สนิทสนมหรือไม่ เคยมีบุญคุณต่อกันหรือไม่ จึงไม่แปลกใจว่าทำไมผ่านมานับหลายสิบปี ประเทศเราจึงยังไม่ก้าว
ไปไหนเลย มีแต่เสื่อมลง