ในสมัยโบราณของจีน มีชาวนาสูงอายุผู้หนึ่ง มีไร่นาอยู่หลายแห่ง โดยปกติแล้วไม่ว่าเขาจะติดต่อกับใคร ก็ยึดหลักลดหย่อนผ่อนปรน ซึ่งถือว่าเป็นท่าที “ปรองดอง”ต่อกัน
อยู่มาวันหนึ่ง มีคนกระหือกระหอบมาบอกแกว่า ” ลุง คนข้างบ้านเขาไล่วัวลงไปเหยียบย่ำข้าวในนาของลุงหมดแล้ว”
ต่อ มาอีกวัน ก็มีคนมาบอกว่า “เพื่อนบ้านคนเดิมได้เข้าไปเกี่ยวข้าวในนาของลุงอีกแล้ว” ชายสูงอายุก็ตอบไปว่า “ครอบครัวเขากำลังขาดแคลนอาหาร พอดีข้าวในนาของข้าสุกก่อน ให้เขาเก็บเกี่ยวไปกินสักมื้อสองมื้อก็ไม่เห็นเป็นไร”
เนื่องจากชาวนา ผู้สูงอายุนั้นยึดถือหลัก “ปรองดอง” ยอมอ่อนข้ออยู่ตลอดเวลา จึงเป็นเหตุให้นับวันเพื่อนบ้านใกล้เคียงยิ่งเหิมเกริม ถึงขนาดบุกแย่งเอาที่นาของแกไป ทั้งยังตัดต้นไม้ในเขตสุสานบรรพบุรุษของแกไปทำด้ามเสียมอีกด้วย
ชาวนาผู้สูงอายุสุดที่จะอดรนทนต่อไปได้ จึงรีบไปถามเพื่อนบ้านคนนั้นทันที
“ทำไมเอ็งถึงได้บุกรุกยึดที่นาของข้า”
เพื่อน บ้านคนนั้นตอบว่า ” ที่ดินของครอบครัวเรา ตั้งแต่เริ่มบุกเบิกก็เป็นผืนดินติดต่อกันอย่างนี้ เส้นแหฃบ่งเขตแดนก็ไม่ชัดเจน ในเมื่อเอ็งมากล่าวหาว่า ข้าบุกรุกที่ดินของเอ็ง ข้าก็พูดได้เช่นกันว่า เอ็งบุกรุกที่ดินของข้า”
“แล้วทำไมเอ็งไปตัดต้นไม้ในเขตสุสานบรรพบุรุษของข้าล่ะ?” ชายผู้สุูงอายุถาม
ชาย เพื่อนบ้านก็ย้อนตอบออกไปว่า “ทำไมสุสานบรรพบุรุษของเอ็งถึงไม่ตั้งให้ห่างไปอีกหน่อยละ รากต้นไม้ของเอ็งมันชอนเข้ามาในที่นาของข้า ข้าขุดรากไม้ในที่นาของข้า ตัดต้นไม้เหนือที่นาของข้า แล้วมันจะัเกี่ยวอะไรกับเอ็งด้วยเล่า”
ชาวนา ผู้สูงอายุฟังเหตุผลเหลวไหลข้างๆคูๆเช่นนี้แล้วก็โมโหจนตัวสั่น แต่เนื่องจากในยามปกติแกเป็นคนอ่อนข้อให้คนอื่นเสียจนชาชิน ตอนนี้จะหันมาใช้ไม้แข็งก็เป็นการยากแล้ว จึงได้แต่พนมมือแล้วพูดว่า ” ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว สมน้ำหน้าตัวเองที่ดันเกิดมาเป็นเพื่อนบ้านของเอ็ง!”
อ่านนิทานเรื่อง นี้แล้ว แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมากก็ตาม แต่เมื่อนำมาตรึกตรองดูก็น่าจะเป็นเหตุเป็นผลที่สอดคล้องกับคำว่าปรองดองใน ทุกวันนี้ได้ คนเลว คนชั่ว โดยสันดานนั้น บางครั้งการอ่อนข้อให้ การหยิบยื่นน้ำใจให้ การปราณีปรานอมนั้นก็ดูว่าจะไม่ใช่คำตอบที่ดีเท่าไรนัก เอ้า ณ เวลานี้ใครเรียกร้องให้ ปรองดอง กัน อ่านนิทานเรื่องนี้แล้ว น่าจะนำไปคิดทบทวนดู เราจะ ปรองดอง กันดีไหม?