เมษายน 18, 2024

เมืองฉะดอทคอม>MUANGCHA.COM

โน่นนิดนี่หน่อยค่อยเป็นค่อยไป

เถายวนหมิง(ซินแสอู่หลิว)

เถายวนหมิงมีอีกชื่อหนี่งว่า เถาเฉียน เขาเป็นคนในสมัย“ตงจิ้น”หรือจิ้นตะวันออก

ในคริสต์ศตวรรษที่ 4 เป็นผู้ริเริ่มบทกวีสำนักลูกทุ่ง ตลอดชีวิตเขาเป็นคนใช้ชีวิตเรียบง่าย นับถือและชื่นชมธรรมชาติ มีคุณธรรมสูง จิตใจงดงาม ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา จนเป็นที่ยกย่องชมเชยและเลื่อมใสศรัทธาจากบรรดาปัญญาชนและผู้พบเห็นในยุคสมัยต่างๆของจีน
ปู่ทวดของเถายวนหมิงชื่อ เถาขัน เป็นรัฐบุรุษอาวุโสที่ร่วมก่อตั้งประเทศของราชวงศ์ตงจิ้น ปู่และพ่อของเถายวนหมิงต่างก็เคยเป็นขุนนาง พ่อของเขาเสียชีวิตขณะเถายวนหมิงมีอายุเพียง 8 ขวบ ทำให้ฐานะครอบครัวของเขาตกต่ำลงเรื่อยๆ เถายวนหมิงในวัยเยาว์ก็เคยมีปรารถนาจะรับใช้ราชการและมีผลงานในเวทีการเมืองบ้าง
อย่างไรก็ตาม “ตงจิ้น”เป็นยุคที่บ้านเมืองปั่นป่วนมาก เกิดการต่อสู้กันระหว่างเชื้อพระวงศ์อย่างต่อเนื่อง การเมืองอยู่ในสภาพเหลวแหลกเน่าเฟะ เถายวนหมิงมีนิสัยซื่อตรงเข้าดำรงตำแหน่งขุนนางเป็นครั้งแรกขณะอายุ 29 ปี ไม่นานก็ต้องลาออกกลับไปบ้านเพราะทนความเหลวแหลกเน่าเฟะและความมืดมนสกปรกของวงการราชการไม่ได้ หลังจากนั้นเขาเคยกลับเข้ารับตำแหน่งขุนนางชั้นผู้น้อยหลายครั้งเพื่อเลี้ยงชีพครอบครัว แต่ก็ต้องลาออกไปทุกครั้งเพราะเหตุผลเดียวกัน
ต่อมา เถายวนหมิงยากจนลงเรื่อยๆ ต้องทำไร่ไถนาเอง แต่ก็ยังไม่พอเลี้ยงครอบครัวอยู่ดี เขาจึงจำต้องกลับไปสมัครทำงานราชการอีกครั้งเมื่ออายุ 41 ปี จนได้ตำแหน่งนายอำเภอ“เผิงเจ๋อ” เนื่องจากเขายังคงไม่ยึดติดในฐานะชื่อเสียงและความมั่งคั่ง ไม่ยอมประจบสอพลอและก้มหัวกับผู้มีอิทธิพล อยู่ในตำแหน่งได้เพียง 80 กว่าวันก็ต้องลาออกอีก หลังจากนั้นเขาก็หันหลังให้กับวงการราชการอย่างถาวร และหันไปใช้ชีวิตชาวนาทำไร่ไถนาเป็นอาชีพ

เถ้ายวนหมิงมีความลำบากยากแค้นยิ่ง เมื่อเขามีอายุ 44 ปี บ้านถูกไฟไหม้ ทำให้ชีวิตเขายิ่งเดือดร้อนมากขึ้น และทำให้เกิดบทกวีที่ชื่อว่า “เซี่ยรึเป้าฉางจี หวนเย่อู๋เป้ยเหมียน”ซึ่งมีความหมายว่า “ในฤดูร้อนต้องอดอยากอยู่เรื่อยเพราะขาดอาหาร ในคืนฤดูหนาวนอนหลับได้ยากเพราะขาดผ้าห่ม” แม้กระนั้น เขาก็ยังมีจิตใจสงบไม่สะทกสะท้าน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เถายวนหมิงสร้างบทกวีมากที่สุด เขาได้ประพันธ์บทกวีพื้นบ้านเป็นจำนวนมาก ซึ่งมักจะบรรยายถึง สภาพการดำรงชีวิตและทัศนียภาพในชนบทเป็นเป้าหมายแห่งความงามเป็นสิ่งแรก ในบทกวีพื้นบ้านของเขา สภาพชีวิตในชนบทได้เพิ่มเติมสีสันแห่งความงามและความบริสุทธิ์อย่างมาก เป็นแหล่งพักใจจากความทุกข์ในโลกแห่งความเป็นจริง
ชีวิตวัยชราของเถายวนหมิงยากจนและทุกข์ระทมมาก บางครั้งต้องไปขอทานหรือขอยืมอาหารเพื่อประทังไปวันๆ แต่แม้จะยากลำบากที่สุด เถายวนหมิงก็ยังปฏิเสธการเรียกเกณฑ์ของทางราชการให้กลับไปรับราชการ บทร้อยแก้วที่มีชื่อเสียงโดดเด่นที่ชื่อว่า “เถาฮวาหยวนจี้ปิ้นซือ” ซึ่งได้ถูกประพันธ์ขึ้นในชีวิตวัยชราของเขานั้น ได้คิดฝันถึงสังคมยูโธเปียที่เต็มไปด้วยความผาสุก เล่าถึงชาวประมงคนหนึ่งที่หลงเข้าไปในบริเวณเถาหยวน พบเห็นคนกลุ่มหนึ่งใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น บรรพบุรุษของคนกลุ่มนี้ไปอาศัยอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆเพื่อหลบภัยสงคราม แล้วก็ไม่เคยออกจากบริเวณเถาหยวนเลยสักชั่วคน พวกเขาไม่รับรู้สภาพของโลกภายนอก ต่างก็ซื่อสัตย์จริงใจ พวกเขาขยันทำงาน มีชีวิตสันติที่ไร้ความกังวล บทร้อยแก้ว “เถาฮวาหยวนจี้ปิ้นซือ”เป็นภาพจินตนาการที่สวยงาม สะท้อนความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของประชาชนในยุคสงครามที่ไฝ่หาสังคมสงบสุข
ผลงานบทกวีที่เถายวนหมิงเหลือตกทอดมาถึงชนรุ่นหลังมีเพียง 100 กว่าบทและบทร้อยแก้ว 10 กว่าบทเท่านั้น แต่ก็มีบทบาทสำคัญยิ่งในประวัติวรรณคดีของจีน ในสมัยตงจิ้นที่เถายวนหมิงใช้ชีวิตอยู่นั้นเป็นช่วงเวลาที่ลัทธิรูปแบบได้รับการส่งเสริมและเผยแพร่ เวลาเขียนบทกวี ผู้เขียนส่วนมากต่างก็จงใจแสวงหาภาษาที่สวยหรูมาใช้ แต่เถายวนหมิงกลับสร้างบทกวีพื้นบ้านรูปแบบใหม่ บทกวีของเถายวนหมิงได้สืบทอดท่วงทำนองที่เรียบง่ายของบทกวีดั้งเดิมของจีน เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตแบบใหม่ บทกวีของเขาล้วนใช้ภาษาที่เรียบง่าย สดใสและรื่นหู บทกวีของเขาจึงเสมือนเป็นป้ายบอกระยะทางที่เป็นสัญญลักษณ์ในระดับสูงของผลงานบทกวีโบราณของจีน