ผู้มีจิตใจซื่อตรงกว้างขวาง
ก็ดุจดั่งความอบอุ่นของลมฤดูใบไม้ผลิ
สรรพสิ่งที่สัมผัสได้
จักมีชีวิตชีวา
ผู้มีจิตใจคับแคบขี้ระแวง
ก็จักเหมือนหิมะจับเป็นน้ำแข็งในฤดูหนาว
สรรพสิ่งที่ได้สัมผัส
จักต้องดับสูญ
ลมใบไม้ผลิกับหิมะน้ำแข็ง
ลมฤดูใบไม้ผลิโชยพัดทั่วผืนแผ่นดิน ความหนาวเย็นยะเยือก ค่อยๆลดน้อยถอยลง ต้นไม้ใบหญ้าตลอดจนหนอนแมลงต่างๆ ฟื้นจากการหลับไหลในฤดูหนาวอันยาวนาน ทั่วทั้งท้องทุ่งเต็มไปด้วยความสดใสมีชีวิตชีวา ภูมิภาพเหล่านี้ทำให้คนเราคิดไปไกลว่า ถ้าหากคนเราทุกคนต่างก็มีความละมุนละไมเฉกเช่นลมฤดูใบไม้ผลิแล้วมันจะดีสักเพียงไหนหนอ? โลกจะน่าอยู่มากขึ้นอีกสักเท่าใด?
ในสมัยราชวงศ์จิ้น มีชายอยู่คนหนึ่งชื่อว่า หวนอุน แม้จะเป็นเจ้าเมืองแห่งเกงจิ๋วก็ตาม แต่เขาก็ดีกับประชาชนเหลือเกิน วันหนึ่ง ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาทำความผิด จะต้องโบยด้วยกระบอง หวนอุนก็สั่งผู้ลงฑัณฑ์ว่า ให้โบยเบาๆบนเสื้อผ้าของผู้ต้องโทษเท่านั้น จะถูกตัวเขาไม่ได้แม้แต่เส้นผม
ในขณะที่ผู้ลงฑัณฑ์กำลังโบยชายผู้กระทำผิดอยู่นั้น บุตรชายของหวนอุนกลับมาจากนอกบ้านเห็นเข้า ก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอันมาก เขาจึงรีบเข้าไปหาผู้เป็นบิดา และถามว่า
“ท่านพ่อ ข้าพเจ้าเพิ่งกลับเข้าบ้านมา เห็นเจ้าหน้าที่กำลังใช้กระบองโบยผู้ต้องโทษคนหนึ่งอยู่ เขายกกระบองขึ้นสูงสุดแขน แต่กลับตีลงพื้นเบาๆ ทำไมเขาจึงทำเช่นนั้นเล่าท่านพ่อ”
หวนอุนหัวเราะเบาๆแล้วตอบว่า “พ่อยังเป็นทุกข์ว่าเขาจะตีแรงด้วยซ้ำไป”
คนที่มีจิตใจเมตตากรุณาเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็อยากเข้าใกล้เขา เพื่อแบ่งปันความอบอุ่นที่เขานำมาให้แก่โลกนี้กันทั้งนั้น
สิ่งที่ตรงข้ามกับลมฤดูใบไม้ผลิ ก็คือหิมะน้ำแข็งที่ทำให้คนเราต้องหนาวสะท้านไปทั่วสรรพางค์กาย หิมะน้ำแข็งสังหารพลังชีวิตของสิ่งที่มีชีวิตไปสิ้นเชิง ไม่ว่าใครก็หวาดกลัวที่จะเข้าใกล้มัน
เจี่ยชงซึ่งอยู่ในสมัยเดียวกันกับหวนอุน ภรรยาแซ่กว้อ เป็นคนใจร้ายมีบุตรคนหนึ่งอายุเพิ่งได้ 2 ขวบ
วันหนึ่งเจี่ยชงไปธุระกลับมา บังเอิญแม่นมอุ้มลูกชายเดินเล่นอยู่ที่ลานบ้าน ลูกชายนั้นเมื่อเห็นหน้าพ่อก็ดีใจตามประสาเด็กก็ดิ้นเพื่อที่จะเข้าไปหา เจี่ยชงเห็นดังนั้นก็จับมือลูกชายขึ้นมาจูบทั้งที่ลูกยังอยู่ในอ้อมอกของแม่นม
เรื่องที่ไม่ควรจะเกิดก็เกิดเมื่อกว้อฮูหยินเกิดเห็นเข้าพอดี ด้วยความมีนิสัยขี้หึงเป็นทุนอยู่แล้ว ก็เข้าใจว่าเจี่ยชงมีอะไรกับแม่นม ก็บันดาลโทสะไม่ทันถามไถ่ให้ได้ความ ก็ตรงรี่เข้าไปในครัวคว้ามีดออกมาฆ่าแม่นมตายในทันที
แม่นมตายแล้วก็ตายไป แต่บุตรชายนางซิน่าสงสาร ร้องไห้หาแม่นมทั้งวันทั้งคืน ไม่ยอมกินไม่ยอมนอน ไม่นานก็ตายไปอีกคน
ลมฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่น กับหิมะน้ำแข็งอันแสนจะทารุณ อันใดควรชอบอันใดควรชัง ย่อมเป็นที่แจ่มชัดยิ่ง
ส่วนตัว
แม้ลมในฤดูใบไม้ผลิจะอบอุ่นอ่อนโยนปานใด แต่หากออกมาในรูปแบบของหวนอุนและนำมาใช้ในสังคมปัจจุบันนี้ ก็เชื่อว่ายากเต็มทีที่จะทำให้สังคมสงบสุขได้ นั่นเป็นเพราะ ผู้คนในสังคมปัจจุบันนี้ ต่างไร้ซึ่งสติและธรรมในการเหนี่ยวนำจิตใจ จนกลายเป็นดุจดั่งยักษ์มาร ผู้ที่ทำผิดอย่างชัดแจ้งแม้มีหลักฐาน พยานประกอบมากมาย เมื่อถูกจับได้ก็ยังกล้าปฏิเสธว่า ไม่ได้ทำ นั่นเพียงเพราะต้องการประวิงเวลาเพื่อที่จะหาทนายที่เก่งมาว่าความให้พ้นผิดให้ได้ ผมเองยึดถือหลัก บ้านมีกฏบ้าน เมืองมีกฏเมือง ผู้ที่ทำผิดย่อมต้องได้รับโทษที่ตราไว้เพื่อให้หลาบจำ เพื่อที่เป็นตัวควบคุมไม่ให้กล้ากระทำผิดได้ง่ายๆ แต่ในยุคนี้ที่บ้านเมืองดูเหมือนไร้ขื่อไร้แป ผู้มีอำนาจ ผู้รู้กฏหมาย มีความพยายามที่อยากประกาศ อยากใช้อำนาจนั้นโดยไม่เกรงกลัวอาญาใดๆ สังคมเราในปัจจุบันนี้ เราจึงพบกับคนอย่าง กว้อฮูหยินมากมาย คนประเภทที่ว่า ฆ่าก่อนแล้วค่อยถามไถ่ ผมเชื่อว่า นี่แค่เป็นการเริ่มต้นของสรรพสิ่งที่เลวร้าย บ้านเมืองยุคต่อไป ถ้าคนดียังนิ่งเฉยอยู่ ผมเชื่อว่ามันจะยิ่งกว่านี้ เมื่อถึงเวลานั้น อย่ามาคร่ำครวญเรียกร้องกันว่า อยู่อย่างเก่าก็ดีแล้ว